ทำไมชาวฮันซาไม่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก คำตอบคือไม่มีเนื้อสัตว์ในดินแดนฮันซานั่นเอง ชาวฮันซามีโอกาสรับประทานเนื้อแพะภูเขาเพียงปีละ 1- 2 ครั้ง ทั้งนี้เพราะไม่มีต้นหญ้าเพียงพอที่จะเลี้ยงสัตว์ได้ การเลี้ยงสัตว์เป็นอาหารจึงมีข้อจำกัดมาก ต้องได้รับอนุญาตเป็นเฉพาะรายเท่านั้น แม้แต่การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เช่น สุนัขและแมว
ปัจจุบันคนไทยบริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลักตามแบบชาวตะวันตกมาประมาณ 60 ปีแล้ว ตำราแพทย์รุ่นนี้เขาสอนให้รับประทานเนื้อ นม ไข่ ที่เป็นแบบธุรกิจไม่เป็นธรรมชาติแต่เป็นสัตว์ที่ถูกขังและขุนด้วยสารเคมี ด้วยจุดประสงค์คือรับประทานอร่อยได้น้ำหนัก เจ้าของธุรกิจต่างพากันร่ำรวย แต่ผู้บริโภคกลับล้มป่วยและอายุสั้นเพราะสารพิษเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น

เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูบางราย เลี้ยงหมูตามธรรมชาติไม่ใช้สารเคมีใดๆ เลย ปรากฎว่าเนื้อหมูมีสีไม่แดงพอ เอเย่นต์ไม่รับซื้อบอกว่าเนื้อแดงชัดดีเหมือนรายอื่นที่เขาเลี้ยงด้วยสารเคมี
เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูหลายแห่งก่อนจะชำแหละหมู 2 3 วัน จะเติมสารฟอร์มาลีนซึ่งเป็นยาดองศพลงไปในอาหารหมูด้วย หลังจากหมูถูกชำแหละแล้วเนื้อหมูจะอยู่ได้นานหลายวันโดยไม่เน่าเสีย
ในอดีตยังไม่มีตู้เย็น แม่บ้านจะไปจ่ายตลาดวันละ 2 ครั้ง เช้า 1 ครั้ง และบ่ายๆ อีก 1 ครั้ง อาหารทุกอย่างเป็นธรรมชาติหมด เป็นสัตว์ที่ชำแหละแล้วจะใช้เวลา 1 - 4 ชั่วโมงกว่าจะถึงมือผู้ซื้อ หลังจากซื้อมาแล้วจึงเก็บได้ไม่นานเกิน 3 - 4 ชั่วโมงจะเริ่มมีกลิ่นเหม็น
แต่ทุกวันนี้เนื้อสัตว์ทั้งหลายนอกจากจะเลี้ยงผิดธรรมชาติแล้ว ยังมีการเติมสารเคมีนานาชนิดเพื่อให้เนื้อนุ่มอร่อยและเก็บได้นาน ผลคือเป็นพิษร้ายที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน
ร่างกายต้องการโปรตีนวันละ 0.6 0.8 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ดูจากตารางข้างล่างนี้ :

จะเห็นได้ว่าร่างกายต้องการโปรตีนวันละประมาณ 30 50 กรัมเท่านั้น
อาหารธัญพืชและผักผลไม้ให้โปรตีนวันละ 20 50 กรัม ผู้ที่รู้จักเลือกจะไม่ขาดโปรตีนเลย ชาวฮันซารับประทานเนื้อสัตว์ปีละครั้งสองครั้ง จึงไม่ได้ขาดโปรตีนแต่ประการใด
โปรตีนส่วนเกินจากเนื้อสัตว์ทำให้เกิดเป็นพิษในร่างกาย 2 ประการ
1. ไตต้องทำงานหนักเกินกำลัง เพื่อสกัดธาตุไนโตรเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของโปรตีนออกทางปัสสาวะ นั่นคือไตต้องทำงานหนักเป็น 2 4 เท่า เพราะทุกวันนี้มนุษย์เราบริโภคโปรตีนมากเกินความต้องการของร่างกาย
2. เศษโปรตีนรวมกับไขมันส่วนเกิน ทำให้เป็นพิษและยังไปอุดท่อลำไส้ โดยเฉพาะลำไส้ใหญ่ พิษจะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่กระแสเลือดไปทั่วร่างกาย เวลาผ่านไปหลายๆ ปี ท่อลำไส้ใหญ่จะถูกอุดจนเกือบตันด้วยเศษอาหารที่เน่าขังเหล่านี้ทำให้อายุสั้นลง คนสูงอายุจะรู้สึกได้ เพราะมื้อไหนรับประทานเนื้อสัตว์มากจะรู้สึกมีอาการไม่สบายทันที บางรายอาจจะป่วยไปหลายวันเลยทีเดียว
จะให้เลิกบริโภคเนื้อสัตว์คงไม่เหมาะสม วิธีทำได้ง่ายๆ คือ ให้ลดการบริโภคของเนื้อสัตว์ลงครึ่งนึง พยายามลดลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเนื้อสัตว์วันละ 1 ขีด ในผู้ใหญ่ส่วนในเด็กวัยรุ่นวันละขีดครึ่ง ผู้ใหญ่อายุเกิน 65 ปีขึ้นไป ควรเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ ยกเว้นแต่เนื้อปลารับประทานได้พอควร
อย่าลืมว่าชาวตะวันตกมีข้อผิดพลาดมาแล้ว เช่น ใช้ก๊าซฟรีออนและคลอโรฟลูออโรคาร์บอนในตู้เย็นและแอร์รถยนต์มาหลายสิบปี กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นสารพิษเมืองไทยเพิ่งสั่งเลิกใช้ไปเมื่อ 2-3 ปีมานี้เอง ขณะเดียวกันคนแถบตะวันตกเองก็กำลังตื่นตัวในการรณรงค์รับประทานอาหารจากธรรมชาติ เช่น เนื้อสัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงด้วยสารเคมีและไม่มีสารกันบูด พืชผักที่ปลอดสารพิษที่เรียกว่า ผักออร์แกนนิค เป็นต้น
ชาวฮันซาบริโภคพืชผักผลไม้เป็นอาหารหลักโดยเฉพาะผักสด
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะว่าไม่มีเนื้อสัตว์จะรับประทานกันนั้นเองเลยกลายเป็นความเคราะห์ดีโดยที่ไม่รู้ตัว
ชาวฮันซารับประทานพืชผักผลไม้วันละกว่าหนึ่งกิโลกรัม ส่วนใหญ่เป็นของสดทั้งสิ้น ชาวฮันซาไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีน้ำมันเชิ้อเพลิง ไม่มีเตาแก๊ส แม้แต่น้ำมันก๊าซและเทียนไขก็เป็นของต้องห้ามในดินแดนฮันซา การหุงหาอาหารจะทำเท่าที่จำเป็นเพราะเชื้อเพลิงคือไม้ฟืนเป็นของหายาก ไม่มีพื้นที่เพียงพอต่อการเพราะปลูกข้าวจ้าว ข้าวเหนียวได้ แต่มีข้าวสาลีเอามาทำขนมปังได้ไม่มากนัก และนำนมแพะเอามาทำเป็นโยร์ต
การบริโภคอาหารพืชผักผลไม้สด มีผลทำให้ชาวฮันซาถ่ายอุจจาระเฉลี่ยวันละ 3 4 ครั้ง เป็นการล้างพิษทางธรรมชาติที่ดีมาก
ความสำคัญของพืชผักผลไม้มีมากมาย กล่าวคือมนุษย์ที่มีอายุยืนเกินร้อยปี โดยมีสุขภาพแข็งแรงอย่างชาวฮันซา ล้วนแต่บริโภคพืชผักผลไม้เป็นอาหารหลักมาตลอดหลายชั่วอายุคน

[กลับด้านบน]
ความสำคัญของพืชผักสีเขียว
นับแต่โบราณกาล พืชสีเขียวคืออาหารของมนุษย์และสัตว์ สัตว์ที่ป่วย เช่น สุนัขและแมวจะไม่บริโภคอาหารชนิดอื่นนอกจากพืชสีเขียว อาการป่วยจะหายไปเองภายในวันสองวัน ในประเทศตะวันออกกลาง ยุโรป และแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีการเลี้ยงพวกปศุสัตว์ด้วยหญ้าสีเขียวที่เรียกว่า อัล ฟาสฟาซ่าห์ (Al - Fasfasha) ซึ่งต่อมาชาวสเปนเรียกเพี้ยนเป็น อัลฟัลฟ่า (Alfalfa) ม้าที่ป่วยด้วยโรคผิวหนังมีบาดแผลเรื้อรังเน่าเหม็นรักษาไม่หาย เมื่อปล่อยให้เป็นอิสระก็เข้าไปในป่าหากินตามยถากรรม ปรากฏว่าม้าที่บริโภคหญ้าอัลฟัลฟ่าเป็นจำนวนมากหายจากการเจ็บป่วยได้ ทำให้มนุษย์เริ่มเรียนรู้จากสัตว์ ผู้ที่ป่วยรักษาไม่หายจึงทดลองรับประทานพืชสีเขียวมากๆ ตลอดจนคั้นน้ำของพืชสีเขียวทั้งหลาย เช่น ผักขม (Spanich) ผักเนทเติส์ (Nettles) และอัลฟัลฟ่า (Alfalfa) จึงพบว่าเมื่อดื่มน้ำผักมากๆ วันละ 3 4 ลิตร (ผสมในน้ำดื่ม) หรือพยายามรับประทานผักสดให้ได้วันละ 1 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถรักษาความเจ็บปวดได้หลายชนิด พืชผักสีเขียวจึงใช้เป็นยารักษาโรคมาตั้งแต่สมัยโบราณ
พลังของสีเขียวคือพลังจากแสงอาทิตย์ มนุษย์และสัตว์ที่หายใจด้วยก๊าซออกซิเจนจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้หากขาดพลังงานแสงอาทิตย์
พลังจากแสงอาทิตย์ทำให้พืชสามารถสร้างอาหารเองได้ โดยการสังเคราะห์แสง (Photosynthesis) ซึ่งอาศัยสารสีหลายชนิดในพืชเองที่มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกันโดยเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ที่มีสีเขียว ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า คลอรอส (Chloros) แปลว่าสีเขียว และฟีลลัม (Phyllum) แปลว่าใบไม้
ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ได้พบความลับของขบวนการทางเคมี เมื่อ ดร.ริชาร์ด วิลสเตตเตอร์ จากประเทศออสเตรีย ได้วิจัยพบสูตรโครงสร้างทางเคมีของคลอโรฟิลล์ที่ประกอบด้วยแมกนี่เซี่ยมอะตอมตรงกลาง ล้อมรอบด้วยกลุ่มของ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน ทำให้ ดร.ริชาร์ด วิลสเตตเตอร์ได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1915 ต่อมาในปี ค.ศ. 1930 ดร.ฮัทซ์ ฟิชเช่อร์ ได้รับรางวัลโนเบลจากการค้นพบสูตรโครงสร้างทางเคมีของฮีม ซึ่งเป็นส่วนประกอบของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดของคลอโรฟิลล์และฮีโมโกลบินดังต่อไปนี้
1. พืชสีเขียวไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้เมื่อขาดคลอโรฟิลล์ และในทำนองเดียวกันมนุษย์ไม่อาจดำรงชีพต่อไปได้ถ้าขาดฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง
2. ฮีโมโกลบินทำหน้าที่รับเอาก๊าซออกซิเจนจากอากาศไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายแล้ว จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปสู่อากาศภายหลังการใช้แล้ว คลอโรฟิลล์ทำหน้าที่รับเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศไปเลี้ยงเซลล์ โดยสร้างเป็นคาร์โบไฮเดรทและปล่อยก๊าซออกซิเจนออกไปสู่อากาศ
3. โครงสร้างทางเคมีของคลอโรฟิลล์และฮีม (ฮีมิน) ในฮีโมโกบินเหมือนกันทุกประการ ยกเว้นตรงกลางซึ่งคลอโรฟิลล์มี 1 อะตอมของธาตุแมกนีเซี่ยมส่วนฮีโมโกลบินเป็น 1 อะตอมของธาตุเหล็ก

ความคล้ายคลึงกันอย่างมากในโครงสร้างของคลอโรฟิลล์กับฮีโมโกลบิน ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้หาทางนำวิธีการใช้คลอโรฟิลล์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำประโยชน์ส่วนที่ดีที่สุดของคลอโรฟิลล์มาใช้บำรุงสุขภาพโดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับเลือด
ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ ในสมัยโบราณแพทย์ทำการรักษาโรคโดยใช้รังสีของแสง และพบว่าแสงสีม่วงรักษาโรคได้ดีมาก และในปัจจุบันแพทย์ส่วนหนึ่งยังคงใช้วิธีการนี้อยู่
คลอโรฟิลล์ดูดเอารังสีของดวงอาทิตย์ได้มากถึง 2 กลุ่มช่วงคลื่นด้วยกัน กลุ่มแรกมี 2 คลื่น คือคลื่นแสงสีม่วง 390-430 มิลลิไมครอน และคลื่นแสงสีน้ำเงิน 430-470 มิลลิไมครอน อีกหนึ่งช่วงคลื่นคือแสงสีแดง 650-760 มิลลิไมครอน ซึ่งคลอโรฟิลล์สามารถดูดเอามาใช้ได้ดีพอสมควร เรารู้กันว่าสีน้ำเงินรวมกับสีแดงคือสีม่วงนั่นเอง รวมความแล้วกลุ่มสีของแสงอาทิตย์ที่มีพลังในการรักษาโรคได้ดีนั้น คลอโรฟิลล์จึงรับพลังเหล่านี้ไว้ได้จำนวนมาก ผู้ที่นำเอาคลอโรฟิลล์ไปใช้ได้ถูกต้องตามวิธีการก็ย่อมจะได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่
จะเห็นได้ว่าพื้นฐานของสุขภาพ มนุษย์ควรบริโภคพืชสีเขียวมากๆ เพื่อนำคลอโรฟิลล์มาเสริมฮีโมโกลบินในเม็ดเลือด ดังคำกล่าวว่า เลือดพืชมีสีเขียวเลือดมนุษย์มีสีแดง มนุษย์จะมีสุขภาพที่ดีได้เลือดจะต้องไม่มีพิษ
นั้นคือ
จงล้างพิษด้วยพืชสีเขียว
[กลับด้านบน]
ข้อจำกัดในการใช้คลอโรฟิลล์ธรรมชาติ
การบริโภคพืชผักโดยตรงนั้น เช่น ในผู้ป่วยโรคโลหิตจาง (Anemia) จะต้องบริโภคพืชผักสดสีเขียววันละกว่า 1 กิโลกรัม ถ้าคั้นเป็นน้ำผักจะต้องดื่ทมวันละ 3 4 ลิตร ติดต่อกันนานประมาณ 3 4 อาทิตย์ขึ้นไปจึงจะได้ผล วิธีธรรมชาติแบบนี้คนทั่วไปปฏิบัติได้ไม่สะดวกนัก แค่ดื่มน้ำบริสุทธิ์วันละครึ่งถึง 2 ลิตร (6 -8 แก้ว) ก็ยังทำกันไม่ค่อยจะได้อยู่แล้ว
ในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงดี ดร.แคทลีน โวเตกี ผู้อำนวยการสถาบันอาหารแห่งชาติสหรัฐอเมริกาแนะนำให้บริโภคพืชผักสดวันละ 500 กรัมเป็นอย่างน้อย
คลอโรฟิลล์เป็นสารที่ไม่ละลายในน้ำ และพบว่าคลอโรฟิลล์ที่มีในเซลล์พืชจะถูกปิดกั้นด้วยผนังเมมเบรนพิเศษ ซึ่งระบบการย่อยอาหารของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อยเพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการ นอกจากจะบริโภคพืชผักในปริมาณที่สูงมาก
คลอโรฟิลล์จะละลายในสารอินทรีย์บางชนิดและในน้ำมันคลอโรฟิลล์ที่ละลายในน้ำมัน (Oil Soluble) ในทางการแพทย์พบว่า หากใช้มากเกินไปจะเกิดผลข้างเคียงอื่นๆ จึงต้องระมัดระวังในการใช้โดยเฉพาะในเด็กและสตรีมีครรภ์ และยังพบว่าคลอโรฟิลล์ที่ละลายในน้ำมันไม่สามารถเพิ่มความเข้มข้นมากๆ จนถึงขีดความบริสุทธิ์ 95 % หรือสูงกว่านี้ได้
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปี ค.ศ. 1917 นักวิทยาศาสตร์เยอรมันได้ค้นพบว่าสาหร่ายคลอเรลล่ามีสารโปรตีนสูง และมีกรดอะมิโนชนิดจำเป็นต่อร่างกายครบทุกตัว แต่ร่างกายมนุษย์ไม่มีน้ำย่อยที่จะสามารถย่อยเปลือกเซลล์ของสาหร่ายชนิดนี้ได้ นักวิทยาศาสตร์เยอรมันได้พยายามค้นคว้าและวิจัยติดต่อกันมาจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพิ่งจะมาประสบความสำเร็จโดยนักวิทยาศาสตร์ชางญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1970 นี่เอง
คลอโรฟิลล์ก็เช่นกัน ทางการแพทย์ได้สกัดคลอโรฟิลล์มาใช้เป็นประโยชน์ได้ในระยะต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง เช่น บริษัท ไรส์สแตน (Rystan Company) ได้ผลิตคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์มาใช้ในวงการแพทย์ โดยอาศัยหลักการที่อะตอมของแมกนีเซี่ยมในคลอโรฟิลล์ซึ่งทำให้คลอโรฟิลล์ไม่ละลายในน้ำ เมื่อทำปฏิกิริยาแทนที่ด้วยโลหะอินทรีย์คือ โซเดียมหรือทองแดงแล้วจะได้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ที่ละลายในน้ำได้ คลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำจะถูกดูดซึมได้ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น จึงเข้าสู่กระแสโลหิตได้อย่างรวดเร็วเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที แต่คลอโรฟิลล์ที่ละลายในน้ำมันจะถูกดูดซึมในลำไส้เล็กส่วนปลายคือ ไอเลี่ยม (Ileum) ทำให้ได้รับคลอโรฟิลล์ปริมาณน้อยเข้าสู่กระแสโลหิต เพราะก่อนจะถึงส่วนของลำไส้เล็กส่วนปลาย คลอโรฟิลล์บางส่วนจะสูญเสียไปจากการทำปฏิกิริยากับน้ำย่อยต่างๆ ในทางเดินอาหาร อีกประการหนึ่งคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่ายโดยไม่สะสมไว้ภายในร่างกาย ผิดกับคลอโรฟิลล์ที่ละลายในน้ำมันจะถูกสะสมไว้ที่ตับ ซึ่งในระยะเวลาหนึ่งอาจเกิดอันตรายต่อตับได้ แต่การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ทำได้ในวงจำกัดเพราะต้นทุนในการผลิตสูง พืชสีเขียวจัด 3 ชนิดที่มีคลอโรฟิลล์มากได้แก่ ผักขม เนทเติลส์ และอัลฟัลฟ่า พบว่าใบผักสด (Fresh Leaves) 1 กิโลกรัม สกัดคลอโรฟิลล์ได้เพียง 1.5 กรัม และใบผักแห้ง (Dried Leaves) 1 กิโลกรัม สกัดคลอโรฟิลล์ได้ 7.5 กรัม ส่วนสาหร่ายสไปรูไลนา 1 กิโลกรัม มีคลอโรฟิลล์ 7.5 มิลลิกรัม
ในปัจจุบันมนุษย์ได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการผลิตคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ได้ผลดีและสะดวกคือสกัดจากพืชอัลฟัลฟ่า ซึ่งอัลฟัลฟ่าที่มีดอกสีม่วงจะให้คลอโรฟิลล์มีคุณภาพดีที่สุด โดยใช้วิธีการเทคนิคเฉพาะอย่างน้อย 15 ขั้นตอน ซึ่งได้ผลผลิตที่ดีขึ้นคือใบสดของอัลฟัลฟ่า 1 กิโลกรัม ได้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 2.25 กรัม

[กลับด้านบน]
ชนิดของคลอโรฟิลล์ที่ทางการแพทย์ยอมรับ
คลอโรฟิลล์ที่ทางการแพทย์ยอมรับคือ คลอโรฟิลล์ที่บริสุทธิ์ ต้องมีสารคลอโรฟิลล์อย่างน้อย 95 % นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองจนในที่สุดพบว่า มันคือ คลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำ (Water Soluble Chlorophyll) ซึ่งคลอโรฟิลล์โดยตัวของมันเอง.... ไม่ละลายในน้ำ
ด้วยกระบวนการเทคนิคพิเศษอย่างน้อย 15 ขั้นตอนนี้ สามารถทำให้คลอโรฟิลล์ละลายในน้ำได้ ทางการแพทย์ได้ทำการวิจัยคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำกันอย่างกว้างขวางและมากมายเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ (Medicinal Use) โดยเฉพาะกลุ่มนักวิจัยส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยเทมเปิล ประเทศสหรัฐอเมริกา นำทีมโดย นายแพทย์ลอเรนซ์ สมิท ซึ่งเป็นศาสตราจารย์นายแพทย์สาขาพยาธิวิทยา ได้รวบรวม
ข้อมูลสำคัญของคลอโรฟิลล์ชนิดละลายในน้ำ ดังนี้ :
1. เป็นสารบริสุทธิ์ควรเลือกใช้ทางคลินิก (Water soluble derivatives are purified and much preferable in clinical use )
2. ผลของการใช้นุ่มนวลและไม่มีอาการระคายเคือง (Bland and non-irritating)
3. จากการทดลองในมนุษย์และสัตว์ในวิธีการแพทย์ รวมทั้งการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและฉีดเข้าเส้นเลือดดำ ไม่ปรากฎอาการของพิษใดๆ (Total absence of toxic effects)
มีการทดลองฉีดคลอโรฟิลล์เข้าไปในหนู 3,000 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักหนู 1 กิโลกรัม ผลปรากฏว่าไม่มีอาการข้างเคียงแต่อย่างใด หนังสือบางเล่มรายงานว่าไม่มีขนาดสูงสุด (Maximum Dose) ที่ใช้กับมนุษย์และเกิดอันตราย การทดลองกับร่างกายของมนุษย์ตามกฏหมายไม่สามารถจะกระทำได้ แต่จากการบันทึกในการใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เป็นเสริมอาหารรักษาโรค พบว่าผู้ป่วยรับประทานถึงวันละ 900 มิลลิกรัม ก็ไม่ปรากฏว่ามีอาการข้างเคียงแต่อย่างใด
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ทางการแพทย์ได้วิจัยสรุปผลดังนี้
ดร. เรดพาธและคณะฯ รายงานผลที่น่าพอใจในการใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ป่วยจากโรคทางเดินหายใจ 1,000 ราย
มหาวิทยาลัยโลโยล่า ประเทศสหรัฐอเมริกา กลุ่มทันตแพทย์รักษาผู้ป่วยกว่า 1,700 ราย พบว่าคลอโรฟิลล์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปากได้
ดร. เคปฮาร์ รายงานผลการใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง พบว่าได้ผลดีในผู้ป่วยที่ไม่ขาดธาตุเหล็กและธาตุทองแดง
ทันตแพทย์โกลด์เบิร์ก ใช้คลอโรฟิลล์รักษาผู้ปวย 300 ราย ที่เหงือกเป็นหนองเลือดออกตามไรฟันและฟันโยก ปรากฎว่าได้ผลดีมาก
ในโรงพยาบาลทหาร ดร. โบเวอร์ส ใช้คลอโรฟิลล์ทาแผล ปรากฎว่ากลิ่นเหม็นเน่าของแผลลดลง และอาการอักเสบดีขึ้นจนกระทั่งหายไป
ดร. มอร์แดน ใช้ขี้ผึ้งคลอโรฟิลล์รักษาแผลไฟไหม้ได้ผลดี
ดร. ฟอลล็อค ได้เปรียบเทียบในการรักษาแผลกดทับ (Bedsore) ด้วยยาหลายชนิดพบว่าคลอโรฟิลล์ได้ผลดีที่สุด
ดร. เบอร์กี้ รายงานว่าคลอโรฟิลล์ช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้หลายชนิด ทำให้หัวใจทำงานมีประสิทธิภาพดีขึ้น ช่วยลดความดันสูง และกระตุ้นทางเดินอาหารให้ทำงานดีขึ้น
ดร. แครนซ์ วิจัยพบว่าคลอโรฟิลล์บรรเทาอาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้ดี และจากรายงานของ ดร. ซามูแอล ในคนไข้ที่เลือดออกในกระเพาะอาหาร 36 ราย ปรากฎว่าทุกรายมีอาการดีขึ้นและหายภายใน 12-22 วัน
ค.ศ. 1980 มีรายงานในผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบเรื้อรังจำนวน 34 ราย โดยการฉีดคลอโรฟิลล์เข้าเส้นเลือดปรากฎว่าได้ผลดี 23 ราย
ดร. โยชิดาและคณะ ฯ พบว่าคลอโรฟิลล์บรรเทาอาการของโรคตับอ่อนอักเสบ และมีรายงานวิจัยอีกหลายคณะในประเทศญี่ปุ่น ในการใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคตับอ่อนอักเสบ
ดร. เบอร์กี้ พิมพ์หนังสือชื่อ Chlorophyll as pharmaceutical กล่าวถึง การใช้คลอโรฟิลล์ได้ผลดีในผู้ป่วย 112 ราย ที่ป่วยด้วยโรคความดันสูง และหลอดเลือดแข็งตัว
ดร. แอนเจโล ศึกษาในคนไข้ 50 ราย ที่ป่วยด้วยโรคความดันสูง พบว่าคลอโรฟิลล์ช่วยลดความดันได้ดี และอาการทั่วไปดีขึ้น
มีรายงานวิจัยอีกมากมายที่ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ในการรักษาโรคลำไส้อักเสบและอื่นๆ ตลอดจนการใช้คลอโรฟิลล์รักษาสุนัขที่ป่วยด้วยโรคผิวหนัง และกลิ่นตัวแรงนับเป็นจำนวนกว่าหมื่นตัว
ในอดีตทางการแพทย์ได้ใช้คลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในน้ำ (Water Soluble Chlorophyll) รักษาผู้ป่วย แต่การใช้ไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก เพราะต้นทุนการผลิตยังมีราคาแพงมาก แต่ในปัจจุบันคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์มีราคาถูกลง และใช้กันทั่วไปในกลุ่มแพทย์ธรรมชาติบำบัด

[กลับด้านบน]
การใช้คลอโรฟิลล์เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ในปัจจุบันตลาดอาหารเสริมในอเมริกา ยุโรป และบางประเทศในแถบเอเชียมีคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ คือ ชนิดที่ละลายในน้ำ ที่สามารถซื้อหามาได้ในราคาพอสมควรซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ที่ไม่สามารถรับประทานพืชผักได้วันละกว่าหนึ่งกิโลกรัมอย่างชาวฮันซา หรือแม้แต่พืชผักสดผลไม้อย่างน้อยวันละ 500 กรัมตามที่ ดร.โวเตกี ได้แนะนำไว้ ซึ่งคนทั่วไปคงปฏิบัติตามได้ยาก ฉะนั้นคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์คือยอดของสารอาหารที่สกัดมาจากพืชผักสีเขียว จึงช่วยส่งเสริมบำรุงสุขภาพของเราได้ดีขึ้นได้ดังต่อไปนี้
1. ระบบเลือด
คลอโรฟิลล์ทำหน้าที่บำรุงเลือด ล้างพิษและทำลายอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ในเม็ดเลือด ทำให้เลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถวักและเห็นผลได้ชัดเจน อธิบายได้ดังต่อไปนี้
เมื่อเจาะเลือดมาขยายดูในกล้องจุลทรรศน์ ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงจะพบว่าเม็ดเลือดแดงกระจายกันอยู่ในน้ำเลือดพลาสม่า (Plasma)

เม็ดเลือดแดงแต่ละตัวมีลักษณะกลมและแบนคล้ายขนมโดนัท ส่วนที่แบนทั้งสองด้านจะเว้าตรงกลางซึ่งสำคัญมาก เพราะส่วนเว้านี้คือ พื้นที่ทำปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ แลกเปลี่ยนอาหาร ตลอดจนการขับถ่ายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และของเสียต่างๆ
การทำงานให้ดีอย่างมีประสิทธิภาพของเม็ดเลือดแดง จะอยู่กระจายออกจากกันทำให้มีพื้นผิวเป็นอิสระจึงทำงานได้อย่างเต็มที่ 100 % ทำให้ร่างกายมีสุขภาพดีตามมาตรฐานสากล ในเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร มีเม็ดเลือดแดง 4 5 ล้านตัว ร่างกายของคนเรามีเลือดทั้งหมดประมาณ 5 ลิตร จึงมีเม็ดเลือดแดง 25 ล้านล้านตัว
ส่วนผู้ที่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เม็ดเลือดแดงจะจับกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนสลับกันกับน้ำเลือดพลาสม่าที่ไม่มีเม็ดเลือดแดง กลุ่มก้อนของเม็ดเลือดแดงจะมีการซ้อนตัวของเม็ดเลือดแดงทับกันอยู่ที่เรียกว่า รูโล (Rouleaux) เป็นจำนวนมากมองเห็นเหมือนเศษสตางค์เหรียญหลายๆ อันซ้อนกันอยู่

การจับตัวเป็นกลุ่มก้อนหนาแน่นอย่างนี้ ทำให้เม็ดเลือดแดงเหลือพื้นที่ผิวอิสระที่จะทำงานได้น้อย... ทำงานได้ 5 15 % นั้นหมายความว่า เลือดทำงานสูญเสียประโยชน์ไปถึง 58 95 % นับว่าเป็นการสูญเสียอย่างมากมาย เพราะว่าความสำคัญของเลือดคือไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกาย ร่างกายมีเซลล์ทั้งหมดประมาณ 60 100 ล้านล้านเซลล์ ทุกๆ เซลล์รอรับก๊าซออกซิเจนที่ส่งไปเลี้ยงเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดแดงที่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ จะกระจายออกจากกันในน้ำเลือดพลาสม่า เพื่อที่จะได้มีพื้นที่ผิวทำปฏิกิริยาชีวเคมีต่างๆ ได้โดยสะดวก
การที่เม็ดเลือดแดงมาจับตัวเป็นกลุ่มก้อนเป็นหย่อมๆ เนื่องจากในน้ำเลือดมีสารพิษหรือนุมูลอิสระ (Free Radicals) ที่ได้รับมาจากสภาพแวดล้อมที่เบี่ยงเบนธรรมชาติ และได้สะสมติดต่อกันมาเป็นเวลานานถึง 20 30 ปี เมื่อร่างกายหายใจเอาสารพิษ ประกอบกับบริโภคอาหารที่ผิดธรรมชาติเข้าไป โดยไม่รู้ตัวหรือรู้ตัวก็ตามสารพิษนานัปการจะเข้าสู่กระแสโลหิต ซึ่งเป็นตัวกลางขนส่งสารเหล่านี้ไปยังทุกๆ เซลล์ของอวัยวะภายในร่างกาย มีผลทำให้ร่างกายอ่อนแอ
หลังจากรับประทานคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 120 มิลลิกรัม (15 ซีซี ในน้ำดื่มครึ่งถึงหนึ่งแก้ว) ประมาณ 20 30 นาที คลอโรฟิลล์จะทำหน้าที่ล้างพิษในเม็ดเลือดเมื่อเจาะเลือดออกมาดูในกล้องจุลทรรศน์ จะพบว่าเม็ดเลือดแดงมีการกระจายตัวออกจากกันมีพื้นผิวทำงานได้ดีอย่างชัดเจน
การล้างพิษในเลือด การทำลายอนุมูลอิสระในเลือด การทำความสะอาดให้กับเลือด ทำให้เลือดทำงานมีประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นส่วนสำคัญมากในการที่จะมีสุขภาพแข็งแรง เป็นหัวใจของการดำรงชีวิตให้ยืนยาวและมีความสุข
ผู้ที่มีสุขภาพดีตามมาตรฐานสากล คืออายุขัยเฉลี่ย 66 70 ปี มีจำนวนเม็ดเลือดแดง 4.5 ล้าน 5 ล้านตัวในน้ำเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
ร่างกายมนุษย์ที่มีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่ามาตรฐาน จะเป็นผู้ที่มีสุขภาพไม่แข็งแรง เพราะการมีเม็ดเลือดแดงน้อย หมายความว่าเลือดมีความสามารถน้อยลงมีประสิทธิภาพลดลงในการที่จะนำพาสารอาหารไปเลี้ยงร่ายกาย
มิสเตอร์พีท มาลอฟฟ์ เป็นผู้บริหารระดับสูงของชุมชนหนึ่งในประเทศแคนาดาได้พาลูกสาวซึ่งมีร่างกายอ่อนแอมาก ไปตรวจที่ดรงพยาบาลเมโย แพทย์บอกว่าเธอเป็นโรคโลหิตจางชนิด Pernicious Anemia แต่ในขบวานการรักษาต้องฉีดยาซึ่งสกัดมาจากอวัยวะของสัตว์ ตระกูลมาลอฟฟ์เป็นผู้บริโภคอาหารพืชผักผลไม้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว ลูกสาวของมิสเตอร์มาลอฟฟ์ก็เช่นกัน ยอมเสียชีวิตดีกว่าที่จะยอมรับวิธีการใดๆ ที่มีการไปทำลายชีวิตของสัตว์ ดังนั้นเธอจึงมาที่คลินิกธรรมชาติบำบัดของ ดร.เบอร์นาร์ด เจนเสน > ให้ทำการรักษา ดร.เจนเสน ให้เธอดื่มคลอโรฟิลล์ชนิดน้ำครั้งละ 5 ซีซี วันละ 8 ครั้ง (วันละ 320 มิลลิกรัม) ทุกวันติดต่อกันนานสามเดือน จำนวนเม็ดเลือดแดงจาก 2.8 ล้านตัวต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นเป็น 3.8 ล้านในสิ้นเดือนแรก และเป็น 4.5 ล้านเมื่อสิ้นเดือนที่สาม ซึ่งถือได้ว่ามีเม็ดเลือดแดงในปริมาณปกติ หลังจากนั้นเธอมีสุขภาพดีเป็นปกติ ต่อมาได้แต่งงานและมีบุตรอีกหลายคน
คลอโรฟิลล์ให้ผลดีมากในการแก้ไขโรคโลหิตจางหลายประเภท มิสเจอร์ กาซซานอฟเป็นผู้ที่มีอายุยืนยาวคนหนึง่ของรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1971 เขามีอายุได้ 153 ปี ดร.เบอร์นาร์ด เจนเสน ได้ทำการตรวจดูเลือดของกาซซานอฟ พบว่าเขามีเม็ดเลือดแดง 6.5 ล้านตัวใน 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการตรวจดูเลือดของมนุษย์ภูเขาที่มีอายุยืนเกินหนึ่งร้อยปีได้พบว่ามนุษย์ภูเขามีเม็ดเลือดแดงวัดได้ถึง 7.5 ล้านตัวใน 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร
หมายความว่า จำนวนเม็ดเลือดแดงที่มีมากกว่า (แน่นอนจะต้องเป็นเม็ดเลือดแดงที่อยู่กระจายห่างกัน ไม่ใช่อยู่ติดกันเป็นกลุ่มก้อน) คือเม็ดเลือดแดงที่ทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพ เพราะจะเป็นตัวนำพาอาหารและก๊าซออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทุกอวัยวะได้ทั่วถึงจริงๆ
คลอโรฟิลล์ช่วยลดความดันโลหิตสูง เลือดที่มีความดันสูงทำให้เหนื่อยง่ายเป็นลมง่าย ที่สำคัญคือทำให้หัวใจทำงวานหนักขึ้น คลอโรฟิลล์ช่วยฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ ช่วยปรับการหมุนเวียนของโลหิตทั้งร่างกายให้ดีขึ้น คลอโรฟิลล์ไม่มีผลกับผู้ที่มีความดันเลือดปกติ
คลอโรฟิลล์จึงเป็นเสริมอาหารบำรุงเลือดที่ดีที่สุด

[กลับด้านบน]
2. ระบบทางเดินอาหาร
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ล้างพิษโดยตรงในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ ทำลายพิษตลอดระบบทางเดินอาหาร
การเน่าเหม็นของอาหารที่สะสมค้างอยู่ในลำไส้โดยเฉพาะคือ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ซึ่งใช้ประโยชน์ได้ 67 % ส่วนอีก 33 % เน่าเหม็นตกค้างอยู่ภายในลำไส้ได้นานหลายวัน ลำไส้คือด่านปราการแรกของร่างกายในการต่อสู้กับความเจ็บป่วย ตามขอบผนังลำไส้มีเป็นแอ่งเป็นกระเป๋าเล็กๆ (Diverticulae or pockets) มากมาย กระเป๋าลำไส้เหล่านี้จะถูกขังด้วยเศษโปรตีนที่เน่าเสียและเป็นพิษไหลเข้าสู่เส้นเลือด ซึ่งกระจายไปทั่วร่างกาย ส่วนตรงกระเป๋าบางแห่งนานไปเกิดอักเสบเป็นแผล การย่อยอาหารต่างๆ จะดำเนินไปได้ดีมีประสิทธิภาพนั้นลำไส้จะต้องมีความสะอาด ลำไส้ที่สกปรกทำให้ระบบการย่อยทำงานบกพร่อง
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ทำหน้าที่ล้างพิษ และทำความสะอาดระบบทางเดินอาหารได้ดีมาก นอกจากนี้คลอโรฟิลล์ยังช่วยลดกลิ่นเหม็นของอุจจาระอีกด้วย
คลอโรฟิลล์ช่วยสมานแผลที่เกิดขึ้นในกระเพาะอาหารและลำไส้ บรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากอาหารเป็นพิษ กระเพาะอาหารและลำไส้ บรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากอาหารเป็นพิษ กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ คลอโรฟิลล์จะไปเคลือบบริเวณที่อักเสบและไปกระตุ้นเนื้อเยื่อให้ฟื้นตัวขึ้นมา
ในสองสามวันแรกที่รับประทานคลอโรฟิลล์ อาจจะพบว่าอุจจาระมีสีเขียวเป็นเพราะสีเขียวของคลอโรฟิลล์ในส่วนที่ส่วนที่ร่างกายดูดซึมไม่หมด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าผนังลำไส้มีความสกปรกมานานแล้ว เมื่อรับประทานไปได้สัก 2 -3 วัน ลำไส้จะสะอาดขึ้น และสามารถดูดซึมสารอาหารอื่นๆ รวมทั้งคลอโรฟิลล์ได้ดีขึ้น สีเขียวจะค่อยๆ จางลงไป อีกประการหนึ่งควรคอยสังเกตดูอุจจาระในวันแรกๆ ถ้าถ่ายเหลวมากไปไม่ใช่เป็นเพราะผลข้างเคียงของคลอโรฟิลล์ แต่เป็นสิ่งที่แพทย์ธรรมชาติบำบัดเรียกว่า ปฏิกิริยาตอบโต้การบำบัด (Healing Reaction) คืออาการอย่างหนึ่งของร่างกายที่คายพิษออกมา ทำให้มีอาการแปรปรวนระยะสั้นๆ ถือว่าเป็นปฏิกิริยาของร่างกายบอกให้รู้ว่าสารที่นำมาใช้ (คือคลอโรฟิลล์ ทำงานได้ผลแต่ถ้าอุจจาระเหลวมากจนคล้ายๆ จะเหมือนลักษณะถ่ายออกมาเป็นน้ำ (ท้องเดิน ท้องร่วง หรืออุจจาระร่วง) ควรลดขนาดของคลอโรฟิลล์งครึ่งหนึ่ง อาการจะเบาลง
ผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์มากเกินปริมาณ อุจจาระที่ถ่ายออกมาจะจมน้ำ มีกลิ่นเหม็นรุนแรงมากคือกลิ่นของเนื้อเน่า ส่วนผู้ที่มีอายุยืนยาวเกินร้อยปีที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงดีนั้น อุจจาระที่เป็นก้อนจะลอยน้ำและมีกลิ่นจางมากไม่เหม็นเน่าน่ารังเกียจ และอีกประการหนึ่งคือ ผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์มากทำให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวช้า อาจจะถ่ายอุจจาระนานๆ ครั้งเช่น 2 3 วันต่อหนึ่งครั้ง วันละหนึ่งครั้ง อย่างดีก็วันละ 2 ครั้ง ทำให้มีการสะสมพิษมากขึ้น แต่ผู้บริโภคผักโดยเฉพาะผักสดวันละ 300 กรัมขึ้นไปจะถ่ายอุจจาระวันละ 2-3 ครั้ง เพราะผักสดมีคลอโรฟิลล์และเส้นใยอาหารไฟเบอร์ทำหน้าที่ล้างพิษและทำหน้าที่กวาดลำไส้ให้สะอาด ทำให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหวเร็วจึงไม่มีการหมักหมมพิษค้างในลำไส้

[กลับด้านบน]
3. บำรุงปาก ฟัน และระงับกลิ่นปาก
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ บำรุงสุขภาพของเหงือกและฟันให้แข็งแรง โรคเหงือกอักเสบและแผลในช่องปากจะทุเลาลงภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากอมน้ำคลอโรฟิลล์ (คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 1 ส่วนต่อน้ำสะอาด 5 -10 ส่วน) วันละ 2 - 4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 2 - 3 นาที คลอโรฟิลล์จะไปเคลือบเนื้อเยื่อต่างๆ ภายในช่องปากไปฟื้นฟูเนื้อเยื่อให้ทำงานดีเป็นปกติ
กลิ่นปากเกิดจากการเน่าเหม็นของเศษอาหารที่คั่งค้างในช่องปาก โดยเฉพาะคือเศษของเนื้อสัตว์ รองลงไปคือของหวานที่มาจากน้ำตาลฟอกสี จะแปรงฟันดีอย่างไรก็ยากที่จะล้างเศษอาหารออกให้หมด เศษเนื้อคือโปรตีนเป็นอาหารอันโอชะของแบคทีเรีย ผลที่ได้คือกลิ่นเหม็นของโปรตีนที่แปรสภาพไปจากการย่อยของแบคทีเรีย การเน่าเหม็นของเนื้อสัตว์ในช่องปาก ผสมผสานกับการเน่าเหม็นของอาหารจากกระเพาะลำไส้ทำให้ลมที่ออกมาจากการเรอ จากลมหายใจออก และโดยเฉพาะการพูดทำให้มีกลิ่นปากและกลิ่นลมหายใจของคนที่รับประทานเนื้อ (โดยเฉพาะเนื้อที่มีเคมีที่เกินปริมาณ) อันตรายระยะยาวที่หนีไม่พ้นคือฟันผุ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 -60 ปี ขึ้นไป จะเหลือฟันแท้ในปากไม่กี่ซี่
วิธีที่สะดวกมากในการระงับกลิ่นปากชั่วคราว โดยเฉพาะหลังอาหารและกลิ่นบุหรี่ในช่องปาก ทำให้โดยการเคี้ยวคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ชนิดเม็ด 1 2 เม็ด ( 1 เม็ด = 30 มิลลิกรัม) อมไว้ประมาณ 2 3 นาที จะระงับกลิ่นปากได้ดีมากทำให้ปากมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของคลอโรฟิลล์ มหาวิทยาลัยโลโยล่ารายงานว่าคลอโรฟิลล์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในช่องปากได้นานถึง 8 ชั่วโมง ซึ่งยาบ้วนปากธรรมดาทำไม่ได้
การอมน้ำคลอโรฟิลล์โดยเฉพาะมื้อก่อนนอนสำคัญที่สุด จะช่วยลดการเสื่อมของเหงือกและฟันได้ดี อมแล้วอย่าบ้วนทิ้ง ให้กลืนไปได้เลยเพื่อคลอโรฟิลล์จะได้ตามไปดับกลิ่นในกระเพาะอาหาร ลำไส้และทำความสะอาดระบบต่างๆ ภายในร่างกายต่อไป
คลอโรฟิลล์ระงับกลิ่นปากได้ดี มนุษย์จะกลืนน้ำลายเป็นระยะๆ ทำให้ไม่มึคลอโรฟิลล์เหลืออยู่ภายในช่องปาก แต่เศษอาหารยังคงอยู่ตามซอกฟัน การใช้ไหมขัดฟัน (Dental Floss) ทุกครั้งหลังจากรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่สมควรทำเพื่อกำจัดเศษอาหารที่แปรงสีฟันเข้าไปไม่ถึง
ชาวฮันซาไม่ใช้ยาสีฟัน ไม่มีการแปรงฟัน แต่เป็นที่น่าประหลาดใจที่ชาวฮันซาที่มีอายุเกินหนึ่งร้อยปีขึ้นไป ต่างก็มีฟันแท้อยู่เต็มปาก คนฮันซาไม่เป็นโรคฟันผุตลอดชีวิตเป็นเพราะพวกเขาบริโภคคลอโรฟิลล์จากธรรมชาติจากพืชผักผลไม้เป็นจำนวนมากทุกวันอยู่แล้วนั่นเอง หลวงปู่พรหมา จากวัดสวนหิน ถ้ำผานางคอย จังหวัดอุบลราชธานี อายุ 107 ปี (พ.ศ. 2543) ยังมีฟันเต็มปาก เป็นฟันแท้ทุกซี่ หลวงปู่เดินเร็วคล่องแคล่วมาก เวลาเดินขึ้นภูเขา ญาติโยมเดินตามไม่ค่อยทัน หลวงปู่บอกว่าฉันข้าวซ้อมมือกับพืชผักสดทุกวัน เพราะมีพืชผักปลูกอยู่รอบวัดนั่นเอง
อมคลอโรฟิลล์ทุกวันก่อนนอนเป็นการบำรุงปากและฟันที่ดีมาก

[กลับด้านบน]
4. รักษาแผลต่างๆ
คลอโรฟิลล์สามารถกำจัดแบคทีเรียและยับยั้งการเจริญเติบโตได้บางชนิด แต่ที่สำคัญคือ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ทำหน้าที่ฟื้นฟูเนื้อเยื่อของแผลทุกชนิดทั้งภายนอกและภายในร่างกาย ซึ่งคุณสมบัติอันนี้ นายแพทย์เดวิด สตินบล๊อค เชื่อว่ากลุ่มพอร์ไฟริน (Porphyrin = โครงสร้างวงแหวน 5 เหลี่ยมของคาร์บอน 4 อะตอม ไนโตรเจน 1 อะตอม) เป็นจำนวนมากของคลอโรฟิลล์ไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสท์ (Fibroblast) ที่บาดแผลไปทำหน้าที่สมานแผล เมื่อร่างกายเกิดมีบาดแผล บริเวณแผลจะมีพอร์ไฟรินอยู่มากมายช่วยรักษาแผล แผลจะหายเร็วกว่าปกติ เป็นการใช้ธรรมชาติบำบัดรักษาอีกวิธีหนึ่ง
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ฟื้นฟูเนื้อเยื่อของแผลทุกชนิดทั้งภายนอกและภายในร่างกาย
แผลภายนอกตามผิวหนัง ถ้าแผลไม่ใหญ่นัก การใช้คลอโรฟิลล์ชนิดน้ำแบบเข้มข้นได้หากแผลมีหลายแห่งถลอกเป็นทางยาว ควรผสมคลอโรฟิลล์ในน้ำลบริสุทธิ์ไม่เกิน 1 ต่อ 5 ส่วน (จะได้ไม่สิ้นเปลืองมาก)
แผลใหม่จะเหลือร่องรอยของแผลน้อยมาก
แผลที่เย็บอย่างดีจะไม่มีรอยแผลเป้นเหลืออยู่ให้เห็น หรือมีก็จะน้อยมาก
แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก คลอโรฟิลล์ใช้ได้ผลดีมาก และจะบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน เห็นผลได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาทีจนถึง 10 วันขึ้นไป ขึ้นอยู่กับขนาดระดับของแผลที่ถูกน้ำร้อนจากไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก ดร. เซอร์ลิง ได้รวบรวมข้อมูลพบว่า คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์รักษาแผลไฟไหม้ได้ดีกว่ายารักษาแผลทั่วไปอย่างน้อย 25 % ขึ้นไป โดยมีร่องรอยแผลเป็นเหลืออยู่น้อยกว่า 50 % และในบางกรณีเหลือแผลเป็นอยู่น้อยมากหรือไม่มีอแผลเป็นเหลืออยู่เลย
คลอโรฟิลล์ช่วยได้ดีในการรักษาแผลเรื้อรัง แผลเป็นหนอง และแผลที่หายช้า หรือหายยาก เช่นในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
แผลในช่องปาก (อมคลอโรฟิลล์ 2 -3 นาที)
แผลภายในร่างกาย เช่น แผลในกระเพาะอาหาร แผลในลำไส้ คลอโรฟิลล์จะไปเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เป็นบาดแผลให้หายเร็วขึ้น
ในการรักษาแผลต่างๆ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ (ชนิดละลายในน้ำ) สามารถใช้เสริมกับยาชนิดอื่นๆ ได้
[กลับด้านบน]
5. ระงับกลิ่น
กลิ่นตัวแรงมีพื้นฐานมาจากการรับประทานเนื้อสัตว์มากรวมทั้งพืชบางชนิด เช่น เครื่องเทศที่มีรสจัดบางชนิด โดยประกอบกับการย่อยอาหารและการดูดซึมของลำไส้ ที่ระบบทำลายกลิ่นทำงานไม่ได้ผลเท่าที่ควร กระแสโลหิตจึงพาเอากลิ่นที่ไปกับอาหารเหล่านี้ไปสู่ผิวหนังแล้วออกมาเป็นเหงื่อ การที่มีเหงื่อออกเป็นการล้างพิษอีกวิธีหนึ่งของร่างกาย แต่กลิ่นเหงื่อที่รุนแรงผิดปกติ คือมีกลิ่นตัวแรงย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไป
ดร. เวสต์คอตต์ ได้วิจัยพบว่าคลอโรฟิลล์สามารถกำจัดกลิ่นตัวได้ดี ผู้ที่มาทำการรักษาบางรายไม่มีกลิ่นตัวเหม็นเหลืออยู่เลย บางรายอาจมีกลิ่นตัวลดลงมาก แม้จะไม่หมดแต่ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ผู้ที่มีแผลเรื้อรังโดยเฉพาะที่บริเวณขา จะรู้สึกลำบากใจเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นกลุ่ม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ทำงาน เพื่อนที่ใกล้ชิด หรือแม้กระทั่งบุคคลในครอบครัวของเราเอง กลิ่นเหม็นของแผลจะกระจายออกไปรอบบริเวณใกล้ๆ โดยเฉพาะในห้องที่ปิด และเปิดเครื่องปรับอากาศ ผู้ป่วยด้วยโรคแผลเรื้อรังที่อยู่รวมกันในวอร์ดของโรงพยาบาลจะรู้สึกได้ดีในเรื่องนี้ ผู้ที่เพิ่งถอนฟันมาหรือผู้ป่วยด้วยโรคแผลในช่องปาก กลิ่นเหล่านี้จะหมดไปในทันทีที่แผลสัมผัสกับคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ แผลที่มีบริเวณกว้างหรือเน่า ใช้ผ้าก๊อซชุบคลอโรฟิลล์ปิดแผลไว้ (อัตราส่วนในน้ำไม่เกิน 1 ต่อ 10 ส่วน) แผลในช่องปากอมคลอโรฟิลล์ (อัตราส่วนในน้ำประมาณ 1 ต่อ 5 ส่วน) ทุกๆ 2 3 ชั่วโมง
ดร. รูดอร์ฟ มีรายของกลุ่มแพทย์จากฝั่งตะวันออกของอเมริกา ในผู้ป่วย 2 รายด้วยโรคมะเร็งผิวหนัง (Ulcerative Cancer) ซึ่งรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันหลายชนิด แต่แผลกลับมีอาการเลวร้ายลงทุกวัน โดยเฉพาะกลิ่นเน่าของแผลที่รุนแรงมากแสดงว่ามีการติดเชื้อเกิดขึ้น เมื่อใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธ์ปิดแผล กลิ่นของแผลหายทันที อีก 4 วันต่อมาไม่มีการติดเชื้อเหลืออยู่เลย
กลิ่นอุจจาระที่รุนแรง การผายลมที่มีกลิ่นแรงมาก จนบางรายจะสังเกตได้ว่ามีแมลงวันบินอยู่รอบๆ ตัว ตลอดจนการเรอออกมามีกลิ่นผิดปกติเหล่านี้ เป็นผลจากการเน่าเหม็นของอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ค้างอยู่ในลำไส้ การรับประทานคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 60 120 มิลลิกรัม (8 15 ซีซี) ทุกครั้งหลังอาหารประเภทเนื้อสัตว์จะแก้ปัญหาของกลิ่นเหล่านี้ได้ดี
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ทำลายพิษและระงับกลิ่นได้ดีทั้งภายนอกและภายในร่างกาย
[กลับด้านบน]
6. ควบคุมความสมดุลของแคลเซี่ยม
ผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ (ที่เลี้ยงด้วยสารเคมี) เป็นอาหารหลัก จะขาดความสมดุลของธาตุแคลเซี่ยม ในประเทศสหรัฐอเมริกา แนะนำให้ประชาชนรับประทานแคลเซี่ยมเสริมวันละ 1,200 1,500 มิลลิกรัม แต่คนอเมริกันเองก็ยังเจ็บป่วยด้วยโรคกระดูกบางหรือโรคกระดูกพรุนกันมากมาย สถาบันบางแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แนะนำให้รับประทานแคลเซี่ยมเสริมถึงวันละ 2,400 มิลลิกรัม ก็ยังไม่เป็นผล ผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไปส่วนมากเป็นโรคขาดความสมดุลของแคลเซี่ยมทั้งสิ้น
นายแพทย์วิฑูรย์ แสงสิงแก้ว กล่าวว่า ปัจจุบันนี้คนกรุงกำลังป่วยด้วยโรคความมั่งคั่ง คือป่วยเพราะรับประทานเนื้อ นม ไข่ มากเกินปริมาณความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะเนื้อ นม ไข่ ที่ไม่ได้มาจากการเติบโตโดยธรรมชาติของมัน แต่เติบโตมาโดยการขัง การขุนด้วยอาหารเคมีและยาปฏิชีวนะ ฯลฯ
นายแพทย์เฉก ธนะศิริ กล่าวว่า คนไทยเวลานี้ตายกันอย่างเต็มยศ คือตายด้วยโรคหัวใจ และหลอดเลือด....ตายด้วยโรคมะเร็ง โรคพวกนี้จะต้องไปตายในห้องไอซียู...ใส่สายระโยงระยางทั้งจมูก ปาก สาบปัสสาวะ อุจจาระ และสายน้ำเกลือพะรุงพะรังเหมือนสายสะพายเลยทีเดียว
แคลเซี่ยมทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง การขาดความสมดุลของธาตุแคลเซี่ยมทำให้ป่วยเป็นโรคสารพัดชนิดตั้งแต่โรคกระดูกผุ โรคหัวใจ โรคกล้ามเนื้อ โรคผิวหนัง โรคเลือดไม่แข็งตัวเมื่อมีบาดแผล ประจำเดือนผิดปกติ ฯลฯ ตัวอย่างเช่นการสร้างกระดูก โครงสร้างกระดูกจะประกอบไปด้วยสัดส่วนที่สมดุลของธาตุแคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส แมกนีเซี่ยม แมงกานีส และต้องการความสมดุลของธาตุสังกะสีกับทองแดงมาเสริมด้วย แต่ในอาหารสัตว์ (ที่เลี้ยงผิดวิธีธรรมชาติ) มีธาตุฟอสฟอรัสในปริมาณมากกว่าธาตุแคลเซี่ยม 8 -20 เท่า ทำหขาดความสมดุลอย่างมาก มีผลทำให้ความสมดุลของธาตุอื่นๆ เสียไปอย่างช้าๆ ซึ่งสะสมนานเกิน 30 ปี ขึ้นไป ฉะนั้นการรับประทานแคลเซี่ยมเสริมมากมายเพียงใดก็ไม่อาจฟื้นฟูความสมดุลดังเดิมได้ เพราะกลไกการทำงานอีกหลายอย่างไม่ได้ทำงานสอดคล้องกัน
นายแพทย์บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล แพทย์นักธรรมชาติบำบัดกล่าวว่า ชาวเอสกิโมรับประทานเนื้อสัตว์มากกว่าวันละ 400 กรัม กลายเป็นชนชาติที่เป็นโรคกระดูกผุมากที่สุดในโลก เพราะอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ ก็กระดูกทรุดหลังค่อมแล้ว ตรงข้ามกับหญิงชาวบันตูในแอฟริกาซึ่งได้รับประทานโปรตีนจากสัตว์น้อยมาก อาหารส่วนใหญ่เป็นพืชผัก ปรากฏว่าพวกเธอต้องการแคลเซี่ยมมาก เช่น สถิติการให้กำเนิดบุตรไม่น้อยกว่า 10 คนต่อหนึ่งครอบครัว ซึ่งให้น้ำนมจากมารดา แต่โรคกระดูกผุกลับหาได้ยากยิ่งในชนเผ่าดังกล่าว ส่วนชาวฮันซาที่ตลอดชีวิตกินแต่พืชผักผลไม้โดยแทบจะไม่เคยได้กินเนื้อสัตว์เลย นอกจากเนื้อแพะภูเขาปีละครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่ไม่ปรากฏว่าชาวฮันซาเป็นโรคกระดูกผุหรือโรคฟันผุเลย
การคืนความสมดุลของแคลเซี่ยมทำได้โดยอาศัยหลักของธรรมชาติ 2 ประการคือ
ประการแรก... ออกกำลังให้กับกระดูกโดยการเดินให้มีแรงกระแทก (Walking with strong impact) ชาวฮันซาเดินเร็วมาก เดินทุกวันเฉลี่ยวันละ 50 กิโลเมตร การเดินเร็วๆ กระดูกจะมีแรงกระแทกได้ดีพอเหมาะ ดร.บิเสทท์ (นักฟิสิกส์สาขากระดูกมีชื่อเสียงมาก) บอกว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดทำให้เซลล์กระดูกมีการสร้างได้ดีและรวดเร็ว และทำให้การสูญเสียกระดูกเกิดขึ้นช้าและน้อยลง การวิ่งเหยาะที่เรียกว่า จ๊อกกิ้งครั้งละ 20 40 นาที อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 -3 วันก็ได้ผลดี แต่การวิ่งเร็ววิ่งจ๊อกกิ้งนานเกิน 1 ชั่วโมง หรือวิ่งมาราธอน แม้จะทำให้ร่างกายแข็งแรงแต่จะทำให้ข้อต่อกระดูกและเอ็นกระดูกเสื่อมเร็ว จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีอายุเกิน 30 ปีไปแล้ว คนสูงอายุที่ไม่ได้ฝีกให้เดินมากๆ (โดยเฉพาะเดินเร็วๆ ) อายุสั้นเพราะจะเจ็บป่วยบ่อยการเดินนอกจากเป็นการออกกำลังกระดูกและกล้ามเนื้อแล้ว ยังทำให้สารพิษต่างๆ ในเส้นเลือดดำที่ถูกฟอกจากปอดไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้รวดเร็วขึ้น
เทคนิคของการเดินหรือจ๊อกกิ้งที่ถูกต้องคือ ออกกำลังกายจนรู้สึกว่าหายใจลึกและยาว เมื่อจ๊อกกิ้งไปได้ 300 800 เมตร ร่างกายจะบังคับตัวเองให้หายใจยาวโดยอัตโนมัติ เพื่อรับเอาก๊าซออกซิเจนปริมาณมากๆ มนุษย์เราปกติหายใจเข้า 1 ครั้ง ได้อากาศประมาณ 500 มิลลิลิตร ในขณะที่ปอดของเราสามารถรับอากาศได้เต็มที่เกือบ 4,000 มิลลิลิตร (4 ลิตร) จึงเป็นการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ของเนื้อที่ภายในปอดอย่างมาก ดร.ฮอฟแมน กล่าวว่าชาวฮันซาทุกคนยามเดินตามปกติจะหายใจยาวและลึกตลอดเวลาจึงมีร่างกายที่แข็งแรงมาก เราควรฝึกหายใจยาว และลึกเพื่อรับเอาอากาศบริสุทธิ์ให้ได้เพียงวันละ 5 10 นาที ก็ยังดี ลัทธิเต๋าสอนให้ฝึกหายใจลึกเกือบเต็มที่ประมาณ 60 80 % แต่การหายใจจนลึกสุด (90 100 %) จะมีผลเสีย เช่น ทำให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อและทำให้กระทบกระเทือนต่อระบบประสาทและระบบหมุนเวียนของกระแสโลหิต คนทั่วไปหายใจเบาๆ จึงได้อากาศเพียงประมาณ 12.5 % เท่านั้น
ประการที่ 2 ... การบริโภคพืชผักสดมากๆ เพื่อต้องการคลอโรฟิลล์เป็นวิธีธรรมชาติของชาวฮันซา หนังสือ The Newer Knowledge of Nutrition เขียนโดย แมคคอลลัมและซิมมอนด์ส และนักธรรมชาติบำบัดที่มีชื่อเสียง (เช่น ดร.เบอร์นาร์ด เจนเสน) ได้สรุปว่า ชาวฮันซามีการควบคุมความดุลของแคลเซี่ยมในร่างกายได้ดีเยี่ยม เป็นเพราะผลของคลอโรฟิลล์จากพืชผักสีเขี่ยวนั่นเอง
กรณีศึกษาของสตรีอายุน้อยรายหนึ่ง ได้ป่วยเป็นโรคกระดูกมีแผลที่ขา 13 แห่ง มีหนองสีเหลืองไหลออกมาตลอดเวลา แพทย์ได้ทำการตรวจสอบพบว่าเธอขาดความสมดุลของแคลเซี่ยม แต่ตลอดเวลา 3 ปีที่เธอตระเวนไปทั่วประเทศ หาที่รักษาหลายแห่งทั้งโรงพยาบาลและคลินิคแต่ก็ไม่หาย จนในที่สุดได้มาพบ ดร. เจนเสน ได้ใช้คลอโรฟิลล์เป็นเสริมอาหารทั้งกินและทา สามอาทิตย์ผ่านไปเธอหายเป็นปกติ
สตรีอีกรายหนึ่งขาดความสมดุลของแคลเซี่ยม เนื่องจากมีประจำเดือนแทบจะทุกวันตลอดเวลาสามเดือนมานี้ จึงมีการเสียเลือดออกไปเรื่อยๆ ทางประจำเดือนในประจำเดือนมีปริมาณของธาตุแคลเซี่ยมมากเป็น 40 เท่าของเลือดปกติ การสูญเสียแคลเซี่ยมทำให้เธออ่อนเพลียและมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ แพทย์ที่ทำการรักษาแนะนำให้เธอผ่าตัด แต่ ดร.เจนเสน ให้เธอรับประทานคลอโรฟิลล์ครั้งละ 120 มิลลิกรัม (15 ซีซี) วัละ 5 6 ครั้ง ผลปรากฏว่าประจำเดือนหยุดภายใน 4 วัน ต่อมาอาการของเธอดีขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเธอไม่ต้องรับการผ่าตัด

[กลับด้านบน]
7. โรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้โดยทั่วไปเกิดจากการที่อากาศและอาหารเป็นพิษ โดยการสะสมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาหารประเภท เนื้อ นม ไข่ นั้นนอกจากจะได้มาจากการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะแล้ว ในตัวของมันเอง เช่น อาหารจานด่วน (Fast Food) อาหารขยะ (Junk Food) หรืออาหารประเภทสุกๆ ดิบๆ (Ghost Food) ยังเป็นอาหารที่ทำให้เกิดสารมูก (Mucus) อาหารที่ก่อให้เกิดมูกแพทย์ธรรมชาติบำบัดบอกว่าเป็นอาหารที่ทำให้อายุไม่ยืนยาว เพราะเป็นอาหารทำให้ร่างกายมีความต้านทานต่อโรคต่ำ เนื่องจากสารมูกไปเกาะตามผนังลำไส้ ทำให้การดูดซึมสารอาหารและแร่ธาตุต่างๆ น้อยลง ตัวสารมูกเองบางส่วนเข้าไปกระแสเลือดเกิดเป็นพิษขึ้น ทำให้เกิดป่วยเป็นโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร คนเราทุกวันนี้จึงเจ็บป่วยกันบ่อยด้วยโรคหวัด น้ำมูกไหล เจ็บคอ โรคช่องหูอักเสบ ท้องเสีย ท้องผูกบ่อย ฯลฯ
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เป็นเสริมอาหารและยังใช้ภายนอก (หยอดหรือทา) เพื่อล้างพิษช่วยบรรเทาอาการแพ้ต่างๆ ได้ดี ทำให้หายจากอาการต่างๆ ได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น อาการเจ็บคอ (Pharyngitis) และต่อมทอลซิลอักเสบ (Tonsilitis) ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ในน้ำอุ่นอัตราส่วน 1 ต่อ 5 ส่วน ถึง 1 ต่อ 10 ส่วนกลั้วคอทุกๆ 2 -3 ชั่วโมง
ส่วนกล่องเสียงอักเสบ (Laryngitis) ให้กลั้วคอทุกๆ 1 ชั่วโมง คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ยังช่วยระงับการอักเสบได้ดี และจะไประงับการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียชนิดที่ไม่ใช้ก๊าซออกซิเจน (Anaerobic Bacteria)
โรคโพรงจมูกอักเสบที่เรียกว่าโรคไซนัส (Sinusitis) โรคแพ้ละอองฟาง หรือ หญ้าแห้ง (Hay Fever) และโรคเยื่อหุ้มโพรงจมูกอักเสบ (Rhinitis) ซึ่งมักจะมีน้ำมูกไหลออกมาเกือบตลอดเวลา ใช้คลอโรนฟีลล์บริสุทธิ์ในน้ำอุ่น ในอัตราส่วน ดังกล่าวหยอดช้าๆ เข้ารูจมูกข้างละประมาณ 30 -50 หยด (แหงนหน้าให้รูจมูกเงยขึ้นในท่านอนหงายหรือนั่งเก้าอี้เอนไปข้างหลัง) โดยทำทีละข้าง ให้หายใจทางปากเพื่อป้องกันการสำลัก เมื่อครบ 2 ข้างแล้วให้ก้มหน้าลงปล่อยให้น้ำคลอโรฟิลล์และน้ำมูกไหลออกไปเอง (ห้ามสั่งน้ำมูก) ทำอย่างนี้ทุกวันจนครบ 6 วันแล้วให้พักติดต่อกันอีก 6 วันจึงจะทำต่อไปอีกถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น
ช่องหูอักเสบ (Otitis Externa) และหูส่วนกลางอักเสบ (Otitis Media) ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์อัตราส่วน 1 ต่อ 10 ส่วน หยดลงไปในหูจนเต็ม แล้วทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที จึงเอียงหูให้น้ำออก สามารถทำได้วันละหลายครั้งจนอาการอักเสบของหูดีขึ้นซึ่งจะรู้ได้จากอาการเจ็บปวดลดลงเป็นลำดับ
อาหารเป็นพิษสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยๆ จากการเดินทางไปสถานที่ต่างๆ อาหารที่ค้างไว้นานหลายวัน อาหารกระป๋องหมดอายุ ในกรณีทั่วๆ ไปธรรมดาคลอโรฟีลลืขนาด 120 มิลลิกรัม (15 ซีซี) จะแก้ไขอาการผิดปกติของอาหารเป็นพิษได้ดีมากโดยไม่ต้องพึ่งยาใดๆ คลอโรฟิลล์จะไปทำลายพิษโดยตรงในลำไส้ อาการปวดท้องจะทุเลาลงภายใน 10 -20 นาที แต่ในกรณีที่รุนแรงมากจำเป็นต้องไปพบแพทย์

[กลับด้านบน]
8. ยาบำรุงร่างกาย
อาหาร 5 หมู่ประกอบด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรท (แป้ง) ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เหล่านี้ร่างกายเราต้องการในสัดส่วนที่พอเหมาะ ถ้าได้รับมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจะทำให้ร่างกายเจ็บป่วย อาหาร 5 หมู่ มีขนาดใหญ่ ซึ่งร่างกายไม่สามารถนำไปใช้ได้ทันที ระบบทางเดินอาหารจะมีการย่อยอาหาร 5 หมู่ ให้มีขนาดเล็กลงเป็นโมเลกุลที่พอเหมาะ เพื่อเข้าสู่กระแสโลหิตและน้ำเหลือง ซึ่งในระหว่างการเดินทางไปยังอวัยวะหรือเซลล์ปลายทาง จจจะมีขบวนการปฏิกิริยาเคมีต่างๆ โมเลกุลเล็กๆ เหล่านี้ จะไปรวมกันเป็นโมเลกุลใหญ่กลายเป็นอาหาร 5 หมู่ ที่ได้สัดส่วนของแต่ละเซลล์ของอวัยวะที่ปลายทาง ในระหว่างปฏิกิริยาทั้งหลายนี้จะมีการกำจัดอาหารส่วนเกิน ตลอดจนสารพิษต่างๆ ให้ออกไปจากร่างกาย เช่น อุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อ เป็นต้น ขบวนการเหล่านี้รวมเรียกว่า เมตาโบลิสม์ (Metatlism)
คลอโรฟิลล์ทำหน้าที่ส่งเสริมขบวนการเมตาโบลิสม์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องร่วมกัน (Synergistic and combined function) โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลอโรฟิลล์ไปกระตุ้นการทำงานของวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น ควบคุมความสมดุลของแคลเซี่ยมในร่างกาย คุณสมบัติที่เด่นอีกประการหนึ่งของคลอโรฟิลล์คือไปกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อที่เกิดใหม่ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้างทดแทนเนื้อเยื่อเก่าที่เสื่อมไป โดยเฉพาะอย่างยิงใมนกรณีที่เกิดบาดแผลทั้งภายนอกและภายในร่างกาย
คลอโรฟิลล์จึงเป็น ยาบำรุงร่างกาย (Tonic) ที่ดีมาก ดร.รูดอล์ฟ แนะนำให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์บำรุงร่างกาย โดยรับประทานวันละ 2 มื้อๆ ละ 120 มิลลิกรัม
คลอโรฟิลล์ไม่ใช่ยารักษาโรคโดยตรง แต่คลอโรฟิลล์เป็นเสริมอาหารพิเศษทำให้สุขภาพของผู้ป่วยฟื้นฟูได้รวดเร็ว คลอโรฟิลล์ทำให้ภูมิคุ้มกันภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น โรคภัยจะทุเลาและหายไปเองเมื่อผู้ป่วยมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์กลับคืนมา
มนุษย์นับแต่โบราณกาลได้พยายามแสวงหายาอายุวัฒนะ เพื่อจะเอามายืดอายุให้ยืนยาวได้มากที่สุด แพทย์แผนปัจจุบันไม่เชื่อว่ายาอายุวัฒนะจะมีจริงในโลก แต่นักธรรมชาติบำบัดหลายกลุ่มบอกว่ายาอายุวัฒนะมีจริง เช่น นายแพทย์โธมาส การ์ดเนอร์ กล่าวว่าคนที่มีอายุยืนเกินร้อยปีจะต้องกินยาอายุวัฒนะที่ทำจากพืชผัก (Life Prolonging Medicinal Herbs) ซึ่งไม่มีสารกันบูดเจือปนอยู่ ชนเผ่าอายุยืนเกินร้อยปีต่างก็มียาอายุวัฒนะรับประทานกันทั้งนั้น หลักสูตรการล้างพิษก็เช่นกันเป็นบทเรียนบทแรกๆ ที่สำคัญมาก ซึ่งสอนกันหนึ่งเทอมเต็มๆ ในหลักสูตรแพทย์ธรรมชาติบำบัดในประเทศสหรัฐอเมริกา
คลอโรฟิลล์มีคุณสมบัติที่น่าสนใจดังนี้คือ
1. เป็นสารต้านอนุมูลอิสระเรียกว่า สารแอนติอ๊อกซิแดนท์ เป็นสารล้างพิษในเลือดที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เม็ดเลือดที่เกาะกันอยู่เป็นกลุ่มก้อนกระจายตัวออกจากกันได้ภายใน 20 30 นาที
สภาพเม็ดเลือดแดง พบทั่วไปในคนที่บริโภคสารอาหารที่เป็นพิษ หรือเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงแบบไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้เม็ดเลือดแดงเกะกลุ่มซ้อนกัน พื้นที่ผิวทำงานมีน้อย (5-15 %)

สภาพเม็ดเลือดแดงของผู้มีสุขภาพดี เม็ดเลือดแดงกระจายออกจากกันมีพื้นที่ผิวทำงานดีมาก

2. กองทัพบกสหรัฐอเมริกาทำการทดลองในหนูที่โดนสารกัมมันตรังสี พบว่าหนูที่ให้คลอโรฟิลล์มีอายุยืนนานเป็นสองเท่าของหนูกลุ่มที่ไม่ได้รับคลอโรฟิลล์
3. มีการทดลองในหนูที่เลี้ยงอยู่ในสภาวะแวดล้องเดียวกัน แล้วแบ่งออกเป้นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเลี้ยงตามปกติ ส่วนกลุ่มที่สองเสริมอาหารด้วยคลอโรฟิลล์ จากการทดสอบคตวามแข็งแรงของพลังกล้ามเนื้อโดยให้หนทั้งหมดว่ายน้ำ ผลปรากฏว่ากลุ่มแรก (ไม่ได้เสริมด้วยคลอโรฟิลล์) ว่ายน้ำได้ 1 ชั่วโมง ส่วนกลุ่มที่สอง (เสริมด้วยอาหารคลอโรฟิลล์) สามารถว่ายน้ำได้นานถึง 3 ชั่วโมง แสดงถึงประสิทธิภาพของพลังกล้ามเนื้อที่สูงเป็น 3 เท่าซึ่งนับว่าสูงมากทีเดียว
4. มีการทดลองเจาะเลือดในหนูออกแล้วแทนที่ด้วยน้ำเกลือทดลอง ทำให้หนูเสียชีวิตภายในระยะเวลาอันสั้น แต่เมื่อแทนที่เลือดด้วยคลอโรฟิลล์ปรากฏว่าหนูมีชีวิตต่อไปได้ตามปกติ
จากคุณสมบัติ 4 ประการนี้ จะเห็นได้ว่าคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์มีส่วนช่วยทำให้ชีวิตยืนยาวและทำให้ร่างกายแข็งแรงดีขึ้นมาก จากการค้นคว้าและวิจัยในมนุษย์และสัตว์ปรากฏว่าผู้ที่มีอายุยืนเกินร้อยปี ล้สนแต่รับประทานคลอโรฟิลล์จากพืชผักเป็นอาหารหลักทั้งสิ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ที่ใช้เป็นเสริมอาหารบำรุงร่างกายจะสมควรได้รับการเลื่อนขั้นเป็น ยาอายุวัฒนะ ในมนุษย์ได้หรือไม่นั้น...ในอนาคตอันใกล้นี้ผู้ใช้คลอโรฟิลล์จะเป็นผู้ที่ให้คำตอบได้เอง

[กลับด้านบน]