มนุษย์เป็นสัตว์กินพืช จริงหรือ ?
โครงสร้างร่างกายของมนุษย์คล้ายสัตว์กินพืชจำพวกเลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งแตกต่างจากสัตว์กินเนื้อ ซึ่งฟันของมนุษย์มีลักษณะแบนไม่แหลมคมพอที่จะกัดหรือฉีกเนื้อหนังและกระดูกของสัตว์ ลำไส้ของมนุษย์นั้นยาวมาก เป็นลักษณะเหมือนของสัตว์กินพืชชั้นสูง สัตว์กินเนื้อจะมีโครงสร้างที่สามารถย่อยและขับเนื้อให้ออกจากร่างกายได้เร็วที่สุด เพราะก้อนเนื้อที่กินเข้าไปจะเน่าหมักหมมในร่างกาย เพื่อกำจัดคลอเลสตอรอลออกจากร่างกาย แต่ระบบการย่อยของมนุษย์เริ่มต้นตั้งแต่ในปาก โดยต่อมน้ำลายขับเอมไซม์ เพื่อแยกสลายเซลล์ที่ซับซ้อนของพืช สัตว์กินเนื้อจะไม่มีเอนไซม์ชนิดนี้จะมีแต่เอนไซด์ ยูริเคส ซึ่งมีหน้าที่แยกสลายกรดยูริกในเนื้อสัตว์ ซึ่งมนุษย์ไม่มี
จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดว่า มนุษย์เป็นสัตว์กินพืชจริงหรือ
? แต่วิถีชีวิตการกินที่ผิดธรรมชาติทำให้บั่นทอนอายุลง
.รวมทั้งบวกกับสารพิษที่ได้รับสะสมในยุคปัจจุบัน ทำให้อายุมนุษย์สั้นลง
ในเนื้อสัตว์และไขมันสัตว์จะมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลสูง ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน ผนังหลอดเลือดแข็งตัว และโรคหัวใจคนส่วนใหญ่ที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์เป็นโรคหัวใจกันมากกว่าคนที่ชอบรับประทานอาหารจากพืชถึง 3 เท่า มะเร็งลำไส้ใหญ่และที่ทวารหนักถึง 2 เท่า มะเร็งเต้านมมากกว่า 3 เท่า
คนที่บริโภคเนื้อวัวมากๆ จะทำให้ตับ ไต อวัยวะสำคัญที่ช่วยกำจัดสารพิษให้ร่างกายทำงานหนักมากผิดปกติ ทำให้ระดับแคลเซียมในร่างกายลดลง เป็นสาเหตุของการเกิดโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้กรดยูริคที่มีมากในเนื้อสัตว์ก็จะสะสมอยู่ตามข้อต่อต่างๆ ตามร่ายกาย ทำให้เจ็บปวดตามข้อกลายเป็นโรคเกาต์
ปัจจุบันนี้สัตว์ส่วนใหญ่ ถูกเลี้ยงโดยให้อาหารประเภทฮอร์โมนสารเร่งเนื้อแดง ยาปฎิชีวนะ เพื่อเร่งการเจริญเติบโต วัตถุเจือปนในอาหารวัตถุกันเสีย สิ่งเหล่านี้เป็นตัวขัดขวางการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งสารพิษเหล่านี้จะสะสมในเซลล์ร่างกายของสัตว์ ไม่ว่ามนุษย์จะบริโภคส่วนใดของสัตว์ก็ยังคงได้รับสารพิษเหล่านี้สู่ร่างกาย ยิ่งบริโภคเนื้อสัตว์ มากเท่าใด สารพิษก็จะสะสมมากในร่างกายมนุษย์ ทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายและบ่อยขึ้น
อาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอย่างแท้จริง จึงได้แก่อาหารจากพืช เพราะประโยชน์ของอาหารจากพืชจะทำให้ระบบการย่อยอาหาร กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานดีขึ้น หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมายได้พิสูจน์แล้วว่า การบริโภคอาหารจากพืชให้ทั้งประโยชน์และคุณค่าที่เพียงพอและเหนือกว่าการได้รับอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการแพทย์สมัยใหม่ค้นพบว่าโรคภัยไข้เจ็บมากมาย เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการบริโภคอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์นี้เอง
การรักษาโรคในตำราแพทย์โบราณจึงรักษาคนที่เลือด และในปัจจุบันนักธรรมชาติบำบัดก็สนใจเรื่องเลือดเป็นอันดับหนึ่ง เลือดดีคนก็สุขภาพดี การสอนให้บริโภคอาหารเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเดิมๆ จึงไม่ค่อยมีการส่งเสริมเรื่องสุขภาพอย่างจริงจัง ในปัจจุบันสารพิษที่เราได้รับมาจากเนื้อสัตว์ที่บริโภคกันอยู่เป็นประจำ เนื้อสัตว์ที่เราบริโภคนั้นเป็นเนื้อสัตว์ที่โตผิดธรรมชาติ เนื่องจากทำให้ขายได้ราคาดี เนื้อมีสีแดงน่ารับประทาน มีน้ำหนัก แต่ถ้าเป็นเนื้อแบบธรรมชาติเราสามารถบริโภคได้ไม่มีพิษภัย วัวกินหญ้าน้ำนมหรือเนื้อที่เราได้รับก็บริสุทธิ์ แต่ทุกวันนี้วัวไม่ได้กินหญ้าแต่กินหัวเชื้ออาหารที่เป็นสารเคมี ทั้งๆที่สารเคมีเหล่านั้นคือ สารก่อมะเร็ง เมื่อสัตว์เหล่านั้นเลี้ยงแบบผิดธรรมชาติ ประโยชน์ก็ได้ โทษก็ได้เช่นกัน จึงสรุปได้ว่า ทุกวันนี้ประชากรชาวไทยป่วยก็เพราะรับประทานเนื้อสัตว์ที่ผิดธรรมชาติ โดยรับประทานผิดมา 40-50 ปีมาแล้วนั้นเอง
ในสมัยก่อน การบริโภคเนื้อ นม ไข่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเนื้อ นม ไข่ ที่ได้มาเกิดจากการโตจากธรรมชาติ แต่สมัยนี้ปนเปื้อนด้วยสารเคมีทั้งสิ้น แม้นแต่พืชผักที่เรารับประทานเข้าไปก็ใช้ยาฆ่าแมลง เราจึงมีสารพิษสะสมทุกวัน ดังนั้นการแก้คือ ต้องลดการบริโภคลง เนื้อสัตว์ให้บริโภควันละไม่เกิน 1 ขีด นอกจาก นอกจากท่านจะเป็นนักกีฬาอาชีพที่ออกกำลังกายมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน จึงควรจะได้รับโปรตีน 24 48 กรัมต่อวันโดยประมาณ แต่ความเป็นจริงแล้วนั้นเนื้อสัตว์ไม่จำเป็นเลย เพราะสามารถทดแทนได้ด้วยโปรตีนจากพืช ผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 65 ปีนั้นไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์เลย (ยกเว้นเนื้อปลา)
คนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งไม่ควรรับประทานเนื้อสัตว์เลย เพราะเนื้อสัตว์คือ อาหารอันโอชะ ของโรคมะเร็ง (อาหารของมะเร็งคือ โปรตีน + คาร์บอนไดออกไซด์ Co2) แต่ควรจะเปลี่ยนมาทานเนื้อปลาที่โตแบบธรรมชาติจะดีมาก

จากคำกล่าวที่ว่า เนื้อสัตว์มีกรดอะมิโนครบนั้นถูกต้องแต่นักวิชาการไม่ได้บอกว่าในพืช แค่ 1-2 อย่างก็มีกรดอะมิโนเพียงพอต่อร่างกายเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ถั่วเหลืองก็มีกรดอะมิโนครบ ดังนั้นจึงค่อยลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง ถ้าไม่ทานเลยก็ดีมาก เนื้อสัตว์ที่เกินนี้ร่างกายไม่สามารถเก็บไว้ได้ ซึ่งต่างจากไขมัน โปรตีนจากเนื้อสัตว์ร่างกายต้องกำจัดทิ้งวันต่อวัน ไตจะเป็นตัวสกัดกรดอะมิโนทิ้งในรูปเอมีน ดังนั้นคนที่รับประทานเนื้อสัตว์จึงเป็นโรคไตทุกคน เพราะไตทำงานเกินกำลังอย่างน้อย 4 - 7 เท่าจากสภาพปกติ

เนื้อสัตว์ที่คุณรับประทานเข้าไปใช้ประโยชน์ได้แค่ 67 % ที่เหลืออีก 33 % ก็คือพิษสะสมขังระหว่างที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเรื่องนี้คนทั่วไปไม่ทราบ เนื่องจากยังไม่มีใครเคยบอก โดยเนื้อเหล่านี้จะสะสมที่ลำไส้ใหญ่ โดยจะไปพอกที่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้ที่เคยมีที่ว่างจะค่อยๆ อุดตันถ้าเป็นระยะเวลานาน รูของลำไส้ก็เกิดการตีบตันเหลือช่องว่างนิดเดียว ระหว่างที่ขังก็จะเกิดพิษไหลย้อนกลับเข้าเส้นเลือดไปทั่วร่างกาย สังเกตได้ว่าคนไทยรุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย ไม่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์ หรือถ้าบริโภคก็มีนานๆ ครั้ง เราจึงได้ยินคำกล่าวที่ว่า กินข้าวกินปลา

เนื้อสัตว์ที่ดี ต้องไม่ใช่เนื้อเคมี ถึงเราจะบริโภคเนื้อดี ขนาดไหนก็อยู่ไม่เกิน 100 ปี และต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน ทุกวันนี้คนไทยบริโภคไขมันเกินความต้องการ 3-4 เท่าโดยเฉพาะไขมันสัตว์ซึ่งมีคลอเรสตอรอลสูง สาเหตุที่ทำให้คลอเรสตอรอลสูงนั้นมาจากไขมันสัตว์ เนื้อสัตว์มีโปรตีน 18 -22 % ไขมัน 35-40 % ทุกครั้งที่บริโภคเนื้อจะได้ไขมันเกินความต้องการ ไขมันส่วนเกินนี้จะไปพอกเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดตีบและตัน ทำให้เกิดความดันสูง และบางครั้งก็อุดตันที่หัวใจ เราจึงตายเป็นอันดับที่ 1 ด้วยโรคหัวใจ (ไขมันอุดตันที่หัวใจ) อันดับที่ 2 ด้วยโรคมะเร็ง อันดับที่ 3 โรคเกี่ยวกับเส้นเลือด แม้แต่ไขมันที่ไปอุดตันในเส้นเลือดที่สมองเกิดเป็นอัมพาต อัมพรึก กันมาก

แต่ไม่มีใครบอกเราว่า ไขมันที่เราบริโภคเข้าไป ยังสามารถแปลงเป็นโปรตีนได้ และบริโภค แป้ง คาร์โบไฮเดรต ก็สามารถแปลงเป็นโปรตีนได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ความจำเป็นในการบริโภคโปรตีนจึงไม่มีไม่มากเลย แต่ปัจจุบันกลับส่งเสริมให้บริโภคเนื้อ นม ไข่ แม้แต่นมที่พยายามให้คนไทยได้บริโภค มีทั้งประโยชน์ และโทษ นมทำให้ร่างกาย เจริญเติบโต แต่อายุสั้นและป่วย เราจะสังเกตได้ว่าคนที่อายุยืนและแข็งแรงจะมีตัวไม่สูงใหญ่ คนที่ตัวสูงใหญ่และอายุยืนไม่มีในโลก คนที่อายุยืนและแข็งแรงมักมีขนาดของร่างกายเล็ก เช่น ชาวฮันซา (Hunza) ผู้หญิงจะมีขนาดความสูง 160 165 ซม. ผู้ชายจะมีขนาดความสูง 165 170 ซม. และโรคที่ประชากรชาวไทยเป็นกันโดยทั่วไปก็ไม่มีใน ชาวฮันซา (Hunza) ชาวฮันซาไม่ป่วย เพราะชนกลุ่มนี้ไม่รับประทานไขมันเกิน ไม่รับประทานโปรตีนเกิน ชาวฮันซา (Hunza) บริโภคพืชผักเป็นอาหารหลัก การบริโภคพืชผักสดทำให้มีพลังชีวิต (Vital Energy) ชาวฮันซา (Hunza) อาจจะไม่ฉลาด แต่มีอายุยืนและอารมณ์ดี มีร่างกายแข็งแรง อายุ 140 ปีก็วิ่งได้ เดินได้ เล่นกีฬาได้ จึงไม่มีคนแก่ในกลุ่มของ ชาวฮันซา (Hunza)

ชาวฮันซา (Hunza)ที่อายุระหว่าง 120 140 ปี
ดังนั้นเราควรบริโภคผักสดผลไม้สดให้ได้มากที่สุดทุกวัน เนื่องจากเราไม่สามารถบริโภคผักผลไม้สดวันละ 1-2 กิโลกรัม เท่ากับชาวฮันซา จึงต้องหาสารอาหารเพื่อมาทดแทน เพื่อให้ร่างกายได้รับอาหารครบถ้วน

ชาวเอสกิโม ที่มีอายุเฉลี่ย 27 ปี 6 เดือน
แต่ถ้าเราบริโภคอาหาร เช่นชาวเอสกิโม ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีแต่น้ำแข็งจึงไม่สามารถที่จะปลูกพืชได้ อาหารที่ชาวเอสกิโมกินจึงเป็นเนื้อสัตว์ ชาวเอสกิโมจึงมีอายุสั้นแค่ ประมาณอายุ 19 ปี ก็กระดูกผุหลังค่อม และมีอายุเฉลี่ยที่ 27 ปี 6 เดือน
ทำไมคนไทยถึงป่วย และตายอย่างทุกข์ทรมาน
เพราะปัจจุบันนี้ประชากรชาวไทยบริโภคอาหารที่เป็นพิษ ดัง นั้นจากการเจาะเลือด จะพบว่าส่วนผู้ที่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงอันเนื่องมาจากการได้รับสารพิษที่ ลำเลียงผ่านออกซิเจนในรูปของอาหารที่รับประทานอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เม็ดเลือดแดงจะจับกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนสลับกันกับน้ำเลือดพลาสม่าที่ไม่มีเม็ดเลือดแดง กลุ่มก้อนของเม็ดเลือดแดงจะมีการซ้อนตัวของเม็ดเลือดแดงทับกันอยู่ที่เรียกว่า รูโล (Rouleaux)เป็นจำนวนมากมองเห็นเหมือนเศษสตางค์เหรียญหลายๆ อันซ้อนกันอยู่
สาเหตุที่สำคัญก็คือการได้รับสารพิษจากเนื้อสัตว์ และผักอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอาหารทำลายกระดูกได้แก่ ผงชูรส , น้ำอัดลม โดยเฉพาะที่มีสีดำเป็นอันตรายมากที่สุด ,ยาฆ่าแมลงที่มาจากพืชผัก , น้ำตาลทรายขาว , ยาปฏิชีวนะ และสารเคมี เมื่อรับประทานไปมากๆ และนานวันจะทำให้การนำพาออกซิเจนเพื่อเลี้ยงร่างกายมีจำนวนน้อยลง เพราะเม็ดเลือดเกาะเป็นกลุ่มก้อน ดังในภาพ

เม็ดเลือดของผู้ที่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง
ดังนั้นเมื่อไม่สามารถนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ รวมถึงไขกระดูกได้ถูกทำลายจากสารพิษที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น จึงทำให้ไขกระดูกไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดแดงได้อย่างเต็มที่ กระดูกมีความสำคัญอย่างมาก โพรงกระดูกตรงกลางภายในคือ ไขกระดูก ( Bone Marrow) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเนื้อกระดูก มีชิ้นกระดูกเล็กๆ เกาะเกี่ยวติดกันเหมือนเป็นฟองน้ำ ( Spongy Bone) ทำหน้าที่ควบคุมความสมดุลของเกลือแร่ต่างๆ (Mineral Homeostasis ) ซึ่งสำคัญมาก ขอบนอกกระดูก (Cortical Bone) หนาและแข็งทำหน้าที่เป็นโครงร่าง ( Skeleton Framework ) ให้กล้ามเนื้อยืดเกาะ
ดังนั้นเมื่อไขกระดูกถูกทำลายโดยสารทำลายกระดูกที่กล่าวมาแล้วนั้น จึงทำให้เกิดการเจ็บป่วยอย่างรวดเร็ว ถ้าไขกระดูกถูกทำลายที่ตำแหน่งใด ก็จะเกิดโรคต่างๆที่อวัยวะนั้นๆ ตัวอย่างเช่น ปวดบั้นเอว ก็ จะเกิดจากการที่เส้นประสาทบริเวณ จุดที่ 4 มีปัญหา ทำให้เกิดอาการดังกล่าว ดังนั้นเมื่อเราแก้ที่ปลายเหตุโดยการใช้ยาสเตียรอยด์ เพื่อรักษาก็จะระงับอาการปวดนั้นได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อถึงกำหนดเวลา หรือท่านหยุดรับประทานยา อาการเจ็บปวดก็ยังคงกลับมาให้พบเห็นได้เหมือนเดิม เมื่อท่านรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ปัญหาก็จะเกิดขึ้นที่ตับ เนื่องจากตับเป็นตัวกำจัดสารพิษ และอย่างที่เราทราบกันมาบ้างแล้วว่าตับเป็นอวัยวะที่รักษาและฟื้นฟูกลับมาให้คงสภาพเดิมๆ ยากที่สุด ดังนั้นเราควรให้ความสำคัญกับต้นเหตุของปัญหานั้นคือ ลดปริมาณการบริโภคสารพิษ ได้แก่ ผงชูรส , น้ำอัดลม โดยเฉพาะที่มีสีดำเป็นอันตรายมากที่สุด ,ยาฆ่าแมลงที่มาจากพืชผัก , น้ำตาลทรายขาว , ยาปฏิชีวนะ และสารเคมี ลงให้มากที่สุด และบริโภคผักที่ปลอดสารพิษ รวมถึงการฟื้นฟูบำบัดจึงจะช่วยลดอาการดังกล่าวได้

ตำแหน่งของไขกระดูกที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคต่างๆ
ข้อมูลข้างต้นเรียบเรียงจาก บรรยายพิเศษ ดร.สังสิทธิ์ ศรีสุคนธ์
|